ทุกอย่างขึ้นอยู่กับจิต

บทความนี้ผู้เขียนสรุปมาจากยูทูป เพื่อเผยแพร่ธรรมะ : https://www.youtube.com/watch?v=TyfiGyhxuv4

ความดับทุกข์ ต้องรู้เรื่องความทุกข์ ต้องรู้ว่าเรามีความทุกข์ จึงจะไปเรื่องความดับทุกข์ได้ พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องดับทุกข์ พูดถึงเรื่องความทุกข์และความดับทุกข์เท่านั้น กฎของธรรมชาติหน้าที่ในการดับทุกข์

เรื่องของความดับทุกข์อยู่ที่จิตใจ ไม่ได้เกี่ยวกับภายนอก เรียกทั่วๆไปว่าจัดเป็นเรื่องของจิตโดยประการทั้งปวง ถ้าเป็นเรื่องของวัตถุไม่ใช่ธรรม ตัวเรื่องแท้ๆ มันอยู่กับจิต คัมภีร์วิสุทธิมรรค ให้เราเพ็งเล็งไปที่จิต ไม่ได้เพ็งเล็งไปที่ร่างกาย ชีวิตอยู่จิตก็ทำงานได้ ภาษาธรรมให้เอาที่จิต จิตปรุงแต่งกันขึ้นมีลักษณะอย่างไร จิตมีลักษณะอย่างนั้นเรียกอัตภาพ เราจึงมีอัตภาพที่เปลี่ยนเรื่อยในความคิดของจิต จิตจัดรูปแบบไหนก็เอารูปแบบของจิตเป็นอัตภาพ เราจึงเปลี่ยนเรื่อยวันหนึ่งเราได้หลายอัตภาพอยู่หลายชนิด ทางธรรมเอาจิตเป็นหลัก เราก็มีการเกิดใหม่ของอัตภาพอยู่เรื่อย ถ้าเราคิดดีเราก็มีอัตภาพดี ถ้าเราคิดเดรัชฉานเราก็ได้อัตภาพเดรัชฉาน อัตภาพคือรูปแบบของจิตใจที่อยู่ร่างกายนี้ขณะหนึ่ง

ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี อยู่ที่จิตที่รู้สึกเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ไม่ใช่เอาร่างกายภายนอก เมื่อไม่มีทุกข์ก็เรียกว่าสุข ความสุขเป็นของเป็นของเลวมาก เช่น ความเอร็ดอร่อย สำเร็จอยู่ที่จิตดวงเดียว? เพราะว่าแล้วแค่จิตรู้สึก ถ้าจิตรู้สึกว่าสุขก็สุข ถ้าจิตรู้สึกว่าทุกข์มันก็ทุกข์ จิตมันบังคับได้ บางคนสามารถบังคับความรู้สึกให้เป็นสุขหรือทุกข์ได้ แล้วแต่จิต เราสามารถบังคับจิตให้รู้สึกหรือเป็นทุกข์ได้ เช่น เมื่อเมียตายคนหนึ่งร้องให้ แต่อีกคนหนึ่งดีใจ มีคนเอาเงินมาให้ 100 ล้าน ก็ไม่รู้สึกอะไร แต่คนหนึ่งได้เงิน 100 ล้าน ดีใจจนเป็นบ้าเลย รู้วิธีบังคับจิตอย่าให้เป็นทุกข์ให้มันเฉยอยู่ ถ้าคนมีธรรมมีคนเอาเงินมาให้ 100 ล้าน มันก็รู้สึกเฉยๆ ไม่รู้สึกว่ามีอะไรเป็นของเรา เมื่อรู้สึกว่าไม่มีอะไรเป็นของเรา เราจะรู้สึกมีความสุขแบบธรรมสูงสุด ความรู้สึกเป็นสุขหรือทุกข์เราบังคับได้ สิ่งที่มาปรุงแต่งจิตมาทำให้จิตเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ได้

จิตมันเปลี่ยนไปได้ตามเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่ง จิตบังคับได้ เปลี่ยนได้เพราะมันเป็นไปตามเหตุปัจจัย รู้จักควบคุมบังคับจิต ไม่ให้เป็นทุกข์ได้ ทำจิตไม่ให้หวั่นไหวถึงความทุกข์ ความทุกข์เกิดมาจากการยึดว่ากูจะตาย ไม่ได้มาจากความเจ็บปวดของร่างกาย ร่างกายจะเจ็บปวดก็ช่างหัวมัน ก็เจ็บเป็นไปตามธรรมดา ถ้ายึดถือว่ากูจะตาย มันก็จะตาย หรือหนามขีดก็จะตายแล้ว เพราะไปให้ความหมายมันมาก ถ้าเราบังคับจิตได้ก็จะไม่ทุกข์ จะเจ็บนิดเดียว เช่น มีดบาด คนเจ็บแค่มีดบาด แต่คนที่โง่รู้สึกว่ากูจะตาย ก็เป็นทุกข์มาก ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็รู้สึกว่ามีดบาด เจ็บนิดหน่อย แต่ความรู้สึกว่ากูจะตายไม่มี

ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ของบุคคลผู้ยึดถือด้วยจิต เพราะจิตมันโง่เต็มที่ว่ามีตัวกู ถ้าจิตไม่มีตัวกูก็จะคิดวว่าความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ก็เลยไม่เป็นทุกข์ เพราะไม่มีความรู้สึกของกู้มีอยู่ เกิดแก่เจ็บตายเป็นของกู

สวดมนต์ครึ่งเดียวเสียหายมาก สวดว่า “เรามีความเกิดเป็นธรรมดา ไม่พ้นความเกิดไม่ได้ เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่พ้นความเจ็บไปได้ เรามีความแก่เป็นธรรมดาไม่พ้นความแก่ไปได้ เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่พ้นความความตายไปได้ เรามีกรรมเป็นของตัว ทำกรรมใดไว้จะต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้น” มันโง่มันคนไม่รู้ เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบทั้งสิ้น มันโง่ มันสวดมนต์ครึ่งเดียว จริงๆ ต้องสวดมนต์ตามพระพุทธเจ้าตรัสว่า “ถ้าได้อาศัยเราเป็นกัลยามิตรแล้ว สัตว์ที่มีความเกิดเป็นธรรมดาจะพ้นจากความเกิด สัตว์ที่มีความแก่เป็นธรรมดาจะพ้นจากความแก่ สัตว์ที่มีความเจ็บเป็นธรรมดาจะพ้นจากความเจ็บ สัตว์ที่มีความตายเป็นธรรมดาจะพ้นจากความตาย” ท่านสอนที่ทำให้สิ้นกรรมไม่มีตัวกูของกู จะไม่มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย คนที่มีกรรมเป็นของตัว มันโง่เอง ปล่อยให้กรรมเป็นไปตามธรรมชาติ เรียกว่า กรรมที่ 4 ไม่มีกรรมดำกรรมขาย กรรมนี้ระงับกรรททั้งปวง

ความรู้สึกที่เป็นทุกข์เราบังคับได้ เราเปลี่ยนความรู้สึกได้ ความทุกข์หรือความสุขอยู่ที่จิต เกิดโดยจิตใจดวงเดียว มันจะทุกข์หรือไม่ทุกข์ก็ได้ เรากลัวความตายเราก็ทุกข์เพราะความตาย

พระบาลีเปรียบเหมือน ลูกศร 2 ลูก ลูกศรลูกแรกเล็กๆ มียาพิษมาเสียบที่ตัวเรา เรารู้สึกว่าไม่เจ็บไม่ตาย แต่ลูกศรลูกที่สอง ดอกใหญ่ๆ มีพิษมาเสียบที่ตัวเรา เราจะรู้สึกทุกข์มาก เรากลัวตายเราจึงทุกข์เพราะกลัวตาย ถ้ารู้สึกตามธรรมชาติก็เท่านั้น บังคับจิตไม่ให้รู้สึกก็ได้ แต่ความรู้สึกว่ากลัวจะตาย จะทำให้ทุกข์มันไม่มีกู มันก็จะไม่เป็นทุกข์ ความทุกข์เราคิดขึ้นมาเองก็ได้ เรื่องจริงไม่ได้เกิด เราก็ทุกข์ขึ้นมาก่อน เช่น เราคิดว่าในอนาคตเราจะเจ็บ จน ถูกเลิกจ้าง ไม่มีเงิน หรือต้องตาย เราก็ทุกข์ขึ้นมาทั้งที่เหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้น ก็เกิดทุกข์ขึ้นมา เพราะเรารู้สึกว่าตัวกู ยืนอยู่เป็นหลัก ถ้าเราคิดฝันให้เป็นสุข คิดว่าจะมีสุข ร่ำรวย ก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะสุขได้

ถ้านั่งอยู่มีเสียงปืนดังปังอยู่ข้างหลังคนก็คิดกลัวตายไม่มีใครคิดเป็นอย่างอื่น เพราะมีความคิดว่าตัวกูของกู ความรักตัวกู ความหวงตัวกู ความระแวงว่าตัวกูจะตาย การเรียนพระพุทธศาสนาจะต้องเรียนจากข้างใน ไม่ใช่เรียนจากหนังสือ เช่น เราเห็นเด็กคนหนึ่งนอนตายข้างถนน เราก็ไม่เป็นทุกข์เพราะไม่ใช่ลูกของเรา แต่ถ้าเป็นลูกของเรามานอนตายเราก็เป็นทุกข์ แต่สมมุติว่าเป็นลูกของเราจริงๆ แต่เราไม่รู้ว่าเป็นลูกของเรา เราก็ไม่ทุกข์ นั้นเป็นเพราะว่ามันไม่ได้อยู่ที่ว่าเป็นจริงอย่างไร แต่มันอยู่ที่ว่าเรายึดถือหรือไม่ เราไปยึดถือว่าเป็นกูนั้นคือลูกของกูที่นอนตาย เราก็ทุกข์ เราปฏิบัติธรรมจนทำลายความรู้สึกเรื่องตัวกูของกูได้หมดสิ้น ทำลายอุปาทาน ทำลายความเคยชินอย่างนั้นจะหมดสิ้น เราก็เป็นทุกข์ไม่ได้อีกต่อไปไม่ว่าจะเกิดขึ้นเป็นพระอรหันต์ ถ้ายึดถือว่าตัวกูของกูก็เป็นความทุกข์เมื่อนั้น เราต้องมีความรู้พระธรรมที่แท้จริงเราก็จะเปลี่ยนระบบความนึกคิดสังขารภายในที่ควบคุมได้ ไม่ให้รู้สึกว่าเป็นตัวกูของกู

วิชาที่ประเสริฐที่สุดที่จะทำให้จัดเป็นทุกข์ไม่ได้ ปรุงแต่ให้เป็นทุกข์ไม่ได้ เรียกว่า ภาวนา แปลว่า ทำให้เจริญ เจริญภาวนะ เจริญความรู้ การปฏิบัติกระทำให้ดีขึ้นสูงขึ้นจนไปอยู่ในสภาพที่จะทำต่อไป จะคิดโง่ๆ ไม่คิดโง่ๆ ชนิดที่มีความทุกข์อีกต่อไป จะมีสติสัมปชัญญะมีอะไรมากพอที่ว่ามากระทบตาหูจมูกลิ้นกายใจจนการเปลี่ยนแปลงในจิตไม่เกิดขึ้นที่จะไม่เป็นทุกข์ แต่เป็นธรรมดาจะมีสะดุ้งหวาดเสียววิ่งหนีกลัวตาย

อสุสัย คือ ความเคยชิน เรากันทีหนึ่งเราก็มีความเคยชิน เราโกรธทีหนึ่งเราก็มีความเคยชินเก็บไว้หน่วยหนึ่ง เรามีความเคยชินก็จะรัก โลภ โกรธ หลง มีมาก เคยชินมาก เราจึงไม่อาจจะอ้างความรัก ความโกรธ ความโลภ ความกลัว ให้ทันเวลาได้ เพราะเราเคยชิน เรามาปฏิบัติธรรมเราก็จะลดความเคยชินที่จะรักโลภโกรธหลงกลัวได้ เราจะต้องลดความเคยชินที่จะรักโลภโกรธหลงกลัวจนเลิกให้ได้ ใครเอาปืนมายิงข้างหลังก็จะไม่สะดุ้งหวาดกลัวได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องของระบบประสาทล้วนๆ เป็นไปโดยธรรมชาติ เอาเข็มมาแทงก็สะดุ้งโดยระบบประสาท ไม่ใช่ระบบจิต แต่ก็ไม่กลัวไม่รู้สึกว่ากูเจ็บก็จะตาย แต่จะสะดุ้งโหยงเพราะไปเหยียบเอาไฟ ก็จะกระโดดน้อยกว่าธรรมดานั่นเอง

ขณะเปลี่ยนอัตภาพ รู้สึกสุขหรือทุกข์ เร็วมากดังสายฟ้าแลบ เพราะจิตรู้สึกเร็วมาก จะทำอย่างไรเราจึงจะไม่เป็นทุกข์ ไปคิดเอาเองนะ ไม่ต้องเชื่อพระพุทธเจ้า ดูโลกข้างใน ไม่ต้องดูโลกภายนอก จะง่ายกับการเข้าใจธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ต้องเอาในหนังสือ ไม่ต้องเชื่อใคร ให้คิดพิจารณาเอาเองว่า คิดอย่างนี้จึงรัก คิดอย่างนี้จึงโลภ คิดอย่างนี้จึงหลง หึงหวง รู้จักเสียให้หมด นี้คือวิธีการเรียนธรรมอย่างเร็วที่สุด คือเรียนอย่างนี้ ยิ่งกว่านักธรรมเอกในโรงเรียนที่ไม่เคยคิด เราเข้าเรียนโรงเรียของพระพุทธเจ้าต้องเรียนจากข้างใน หลับตาและไม่ต้องใช้กระดาษดินสอ

กลางวันอยู่กับวิเวก กลางคืออยู่กับปฏิสังขานะ คือจิตไม่ไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ นี้คือพระโสดาบันบุคคล ที่ไม่ประมาท จะมีความปราโมทแล้วจะปีติ จะมีความสุข เป็นปัสสัทธิ จะเป็นสมาธิ จะเห็นธรรมที่ไม่เคยเห็น ก้าวหน้าในทางธรรมต่อไป

ความสุขในที่นี้ไม่ใช่ความสุขทางกามารมณ์ แต่ความสุขเพราะความสงบลงไม่มีอะไรมารบกวนจิต จิตจึงเป็นสมาธิจะเกิดความรู้ต่อไปอีก ต้องสนใจในการทำให้มันก้าวหน้า จงพอใจในวิเวกให้มาก ตี 4 พระตีระฆังให้ตื่นครึ่งชั่วโมง อย่าเพิ่งเปิดไฟ ให้อยู่กับความมืด ให้นั่งสงบอยู่กับความวิเวกสักครึ่งชั่วโมงแล้วก่อนเปิดไฟมาทำวัตรตามปกติ จะทำอะไรให้มีสติ อย่าไปสนในกับอะไรภายนอกจิต จิตอยู่ข้างในทุกอิริยาบถ แม้จะไปบิณฑบาตจะกำหนดจิตในภายในให้ได้ ให้รู้สึกตัวเองที่เป็นอัตภาพหนึ่งภายในทุกขณะการเปลี่ยนแปลงของจิต เรารู้สึกอย่างไรเราก็เป็นอัตภาพชนิดนั้น เรามีอัตภาพเป็นร้อยเป็นพันก็ได้ ในวันหนึ่ง อยู่ที่จิตดวงเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงถูกปรุงแต่งไปอย่างไร รู้ว่าเป็นอย่างนี้เอง ไม่ใช่ตัวตนของกูมันเป็นแต่ตัวจิตที่รู้สึกนึกคิดในรูปแบบหนึ่งเท่านั้น ทำให้รู้ตัวตนได้มากขึ้น รู้เรื่องสุญญตา ไม่มีตัวตน นั่นคือกุญแจแห่งความสำเร็จ ทุกข์สุขอยู่ที่จิตดวงเดียว จะควบคุมได้หมดทุกเรื่อง ควบคุมโลกได้ จิตไม่รับเอาโลกเข้ามาอย่างเดิม เหนือโลกเหนือความทุกข์ทั้งปวง

ความสุขความทุกข์มันเกิดขึ้นที่ว่าเราดำรงจิตไว้ถูกหรือผิด ดำรงจิตไว้ถูกก็เกิดความรู้สึกที่ไม่ทุกข์หรือความสุข แต่ดำรงจิตไว้ผิดจะรู้สึกว่าทุกข์ ดำรงจิตในกลางๆ ก็จะได้ไม่ทุกข์ไม่สุข ไปค้นเอาองอย่างหวังอย่างเดียวที่จะรู้จากคำบาลี ไปคิดเอาเองจะรู้สึกการปรับปรุง ระวังรักษาดำรงจิตอย่างไรให้เกิดความทุกข์ เหมือนกับหมาแมวที่มันนอนตรงนี้ไม่สบายมันก็ย้ายไปหานอนที่อื่นที่สบายจนกว่ามันจะหาได้

เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คืออะไร โดยเราไม่ต้องรู้ความหมายก็ได้ ถ้าเรารู้กำหนดเอาเองนั้นแต่เป็นรูปแล้วจิตเป็นอย่างไร จะเกิดการคิดนึกการกระทำเป็นเรื่องของเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไปรู้จักตัวมันก่อนแล้วจึงรู้ชื่อขงมันอย่างไรเรียกว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พระพุทธเจ้าตรัสว่า อยู่อย่างวิเวก อยู่อย่างไม่ประมาท คำว่าวิเวก คือไม่ยุ่งกับอะไร มุ่งอย่างวิเศษ เดี่ยวอย่างยิ่ง อย่าให้อะไรมากวนจิต นรกสวรรค์ก็อยู่ที่จิตดวงเดียว มรรคผลนิพพานก็อยู่ที่จิตดวงเดียว อะไรทั้งหมดรวมสิ่งๆ เดียวคือจิต จิตมันเร็วกว่าสายฟ้าแลบ และเราจึงต้องจัดการกับจิตตามที่เราต้องการ ใครจัดให้ คือ จิตจัดให้ จิตไม่มีตัวตน เราฝึกฝนจิตแต่จิตฝึกฝนจิต จิตอย่างเดียวจัดการได้ทุกอย่างจนไม่มีความทุกข์เลย

เครดิต : https://www.youtube.com/watch?v=TyfiGyhxuv4

 559 ผู้เข้าชมเว็บไซต์,  4 views today